วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

แร้ง

แร้งเป็นสัตว์ที่กินซากสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งไม่เหมือนกับนกล่าเหยื่อประเภทอื่น ๆ มีอุ้งเท้าไม่แข็งแรงและไม่เหมาะที่จะจับสัตว์ที่มีชีวิต มีปากขนาดใหญ่ไว้สำหรับฉีกเนื้อ หัวและคอของมันแทบจะไม่มีขนเลย แร้งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ แร้งโลกเก่าและแร้งโลกใหม่(อเมริกา) ถึงแม้ว่ารูปร่างและนิสัยจะเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ลักษณะเฉพาะตัวจึงทำให้อยู่คนละตระกูล แร้ง มีหลายชนิด เช่น
1.แร้งแอนดีส
2.แร้งกริฟฟอง
3.แร้งอียิปต์
4.แร้งเตอร์กี
5.พญาแร้งอเมริกัน

นกแร้ง
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร
Animalia
ไฟลัม
Chordata
ชั้น
Aves
Orders
Falconiformes (Fam. Accipitridae (part))Ciconiiformes (Fam. Cathartidae)
ลักษณะนิสัย
ลักษณะรูปร่าง พญาแร้ง เป็น นกขนาดใหญ่ ขนาดประมาณ 81 - 85 ซม. หางสั้น ปลายหางค่อนข้าง เป็นรูปพลั่ว ตัวเต็มวัยสีตามลำตัวออกเป็นสีดำ อก และ สีข้างมีแถบสีขาว บริเวณหัว คอ และ ขา สีแดง ปีกสีดำ บริเวณโคน ขน ปลายปีกทั้งด้านบน และ ด้านล่างมีลายพาดสีเทา ตัวไม่เต็มวัย ของ พญาแร้ง แตกต่างจากตัวไม่เต็มวัย ของอีแร้ง อื่นๆ ตรงที่มีสีขาว บริเวณท้องตอนล่าง และ ขนคลุมโคนหาง ในขณะที่ตัวที่ไม่เต็มวัย ของ แร้งอื่นๆ มักจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หัว ปกคลุมไปด้วยขนอุยสีขาว
นิสัยประจำพันธุ์ พญาแร้ง เป็นนกที่มีกิจกรรมต่างๆ และ หากินในตอนกลางวัน พบตามทุ่งนา พื้นที่เกษตรกรรม ทุ่งโล่ง และป่าต่างๆ มักจะพบ อยู่เป็น ฝูงเล็กๆ ราว 2 - 5 ตัว หรือ อาจจะพบอยู่กับฝูงแร้งเทาหลังขาว เราอาจจะพบมันกำลังร่อนเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศ หรือ จับเกาะตามกิ่งแห้งของต้นไม้ หรือ ลงเกาะตามพื้นดิน
อาหารของพญาแร้ง ได้แก่ ซากสัตว์ต่างๆ ซึ่งสัตว์ผู้ล่าอื่นๆ ทิ้งเอาไว้ หรือซากสัตว์ที่มนุษย์นำไปทิ้ง หรือแม้แต่ซากศพมนุษย์ซึ่งถูกทิ้งไว้ อย่างเช่นคนพื้นเมืองบางท้องที่ ของ ประเทศอินเดีย นิยมทิ้งศพไว้ให้แร้งกิน
พญาแร้ง มีพฤติกรรมการหาอาหาร ด้วยการจ้องมองหาอาหาร ขณะที่ร่อนอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นอาหาร มันจะบินลงมากิน โดยใช้จะงอยปาก ฉีกซากสัตว์ และ ปกติ จะกินเครื่องในก่อน จากนั้นจึงจะกินเนื้อทีหลัง หากมี สัตว์อื่น ที่แข็งแรงกว่า เช่น เสือ กินซากสัตว์อยู่แล้ว พญาแร้งจะคอยจนกระทั่งเสืออิ่ม และ ผละจากไป จึงจะเข้าไปกิน อาหารต่อ และ จะไล่นกชนิดอื่น รวมทั้งสัตว์อื่นๆ ที่มาแย่งอาหารนั้นด้วย
ฤดูผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ พญาแร้ง ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูหนาว ต่อ ฤดูร้อน หรือ ระหว่างเดือนธันวาคม ถึง เดือน เมษายน ทำรังตามต้นไม้โดยเฉพาะต้นตาล และ ต้นยางนา เป็นรังขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ โดยใช้กิ่งไม้ต่างๆ วางซ้อนทับตามคอต้นตาล หรือ ตามง่ามของกิ่งไม้ ตัวผู้ และ ตัวเมีย จะช่วยกันเลือกสถานที่สร้างรัง หาวัสดุ และ ร่วมกันสร้างรัง ไข่ มีสีขาว ขนาดโดยเฉลี่ย 66.0 X 83.9 มม. ตัวเมียวางไข่คราวละ ฟองเดียว ระยะเวลา ฟักไข่ ประมาณ 45 วัน ลูกที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆ มีขนอุยสีขาวปกคลุม ลำตัว แต่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะการ หาอาหาร มาป้อน และ ดูแลจนกระทั่งลูกแข็งแรง และ บินได้ จากนั้นจึงจะทิ้งรังไป
การแพร่กระจายพันธุ์ อินเดีย เนปาล ตะวันตกเฉียงเหนือของบังคลาเทศ , ตะวันตกเฉียงใต้ของจีน (โดยเฉพาะ ตะวันตก และ ทิศใต้ ของมณฑลยูนนาน ) , มีรายงานการพบบ้างในปากีสถาน , สำหรับเอเซียตะวันออก เฉียงใต้ เป็นนกประจำถิ่นที่หายากมาก ทางภาคตะวันตก ของประเทศไทย , ภาคใต้ของลาว , ตะวันออกเฉียงเหนือ ของกัมพูชา , ตอนเหนือ และ ตอนใต้ ของแคว้นอันนัม ในเวียตนาม , เคยมีรายงานการพบในภาคกลาง ภาคตะวันตก เฉียงเหนือ และภาคใต้ ของประเทศไทย , ภาคเหนือของ คาบสมุทร มาลายา , ภาคเหนือ ภาคกลาง ของลาว , ประเทศ ในแถบอินโดจีน , เคยมีรายงาน แต่ปัจจุบันไม่ทราบสถานภาพที่แน่นอน ในพม่า ภาคกลางของแคว้นอันนัม และ เคยมีรายงานไม่ได้รับการยืนยัน ในสิงคโปร์//th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%87 http://www.skn.ac.th/skl/skn43/eagle05/vulture.htm http://www.zyworld.com/NAKARIN/HTMLredheadedvulture.htm

ไม่มีความคิดเห็น: